ใครออกเดทกับ เจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี?

พลโทหญิง เจ้าคุณพระสินีนาถ พิลาสกัลยาณี (เกิด 26 มกราคม พ.ศ. 2528) เป็นพระสนมเอกใน พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นสตรีคนแรกที่เป็นพระสนมของพระมหากษัตริย์ไทยในรอบเกือบร้อยปี

เดิมเจ้าคุณพระสินีนาถ พิลาสกัลยาณี เป็นพยาบาลทหารกองทัพบก ภายหลังได้เป็นบาทบริจาริกาของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะยังทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และได้รับพระราชทานยศและตำแหน่งทางทหาร รวมถึงชื่อ สินีนาฏ วงศ์วชิราภักดิ์ จากพระองค์ ครั้นพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นเสวยราชย์แล้ว ได้สถาปนาสินีนาฏ วงศ์วชิราภักดิ์ ขึ้นเป็นพระสนม บรรดาศักดิ์ว่า เจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2562 ต่อมาในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2562 พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงถอดเจ้าคุณพระออกจากยศศักดิ์ทั้งหมด เนื่องจากทรงเห็นว่า มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมหลายประการ และมีความขัดแย้งกับสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี พระอัครมเหสีของพระองค์ อย่างไรก็ดี ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2563 ทรงคืนยศศักดิ์ให้ดังเดิม เพราะทรงเห็นว่า "มิได้เป็นผู้มีมลทินมัวหมอง"

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (พระราชสมภพ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2495) เป็นพระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 10 แห่งราชวงศ์จักรี และพระองค์ที่ 54 ของราชอาณาจักรไทย ทรงครองราชสมบัติมาตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 จนถึงปัจจุบัน

พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์เดียวของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงได้รับการสถาปนาเป็นสยามมกุฎราชกุมารใน พ.ศ. 2515 ขณะมีพระชนมายุ 20 พรรษา ครั้นสมเด็จพระบรมชนกนาถเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 แม้คาดหมายว่าพระองค์จะทรงขึ้นครองราชย์โดยทันที แต่พระองค์ทรงผัดผ่อนเพื่อให้ประชาชนได้ไว้อาลัยต่อสมเด็จพระบรมชนกนาถ กระทั่งวันที่ 1 ธันวาคม จึงทรงรับการอัญเชิญขึ้นทรงราชย์อย่างเป็นทางการ แต่รัฐบาลให้นับรัชสมัยของพระองค์ย้อนหลังไปถึงวันสวรรคตของสมเด็จพระบรมชนกนาถ เนื่องด้วยพระชนมพรรษา 64 พรรษา พระองค์จึงทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยที่มีพระชนมพรรษาสูงที่สุดในวันขึ้นทรงราชย์ พระองค์ทรงจัดการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบรมชนกนาถในวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560 พระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระองค์จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 4–6 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ในช่วงต้นรัชกาล พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับ ณ พระตำหนักในรัฐบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี เป็นส่วนใหญ่ พระองค์ทรงอภิเษกสมรสและทรงหย่าร้างหลายคราว และทรงแต่งตั้งสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เป็นพระอัครมเหสีพระองค์ปัจจุบันในคราวราชาภิเษก พร้อมทั้งยังทรงมีพระชายาอื่นอยู่ในเวลาเดียวกัน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 100 ปีที่พระมหากษัตริย์ไทยทรงมีคู่ครองหลายพระองค์ พระองค์ทรงมีบทบาททางการเมือง โดยทรงให้แก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 ที่ผ่านการออกเสียงประชามติแล้ว ในประเด็นเกี่ยวกับพระราชอำนาจ และในการการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2562 พระองค์ทรงประณามการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีของทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี พระเชษฐภคินี นอกจากนี้ ในรัชสมัยของพระองค์ ยังมีการโอนกองกำลังและงบประมาณบางส่วนไปขึ้นกับพระองค์โดยตรง พร้อมทั้งมีการจัดระเบียบทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ใหม่ ให้อยู่ภายใต้พระราชอำนาจจัดการตามพระราชอัธยาศัย เปลี่ยนชื่อผู้ถือครองมาเป็นพระปรมาภิไธยของพระองค์โดยตรง และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สำนักงานพระคลังข้างที่ เป็นผู้ดูแลรักษาและจัดการผลประโยชน์ของทรัพย์สินในพระองค์ เว็บไซต์ บิสซิเนสอินไซเดอร์ ประเมินพระราชทรัพย์ของพระองค์ใน พ.ศ. 2563 ไว้ที่ 43 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระราชทรัพย์มากที่สุดในโลก

ระหว่าง พ.ศ. 2563–2564 เกิดการประท้วงทั่วประเทศเพื่อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์และจำกัดพระราชอำนาจ มีการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเปิดเผยมากขึ้น รวมถึงเรียกร้องเปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นสาธารณรัฐ ผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวถูกจับกุม คุมขัง และดำเนินคดีตามข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ สถิติระหว่างวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 ถึง 6 เมษายน พ.ศ. 2566 พบว่ามีผู้ถูกดำเนินคดีจำนวน 239 ราย

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (พระราชสมภพ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2495) เป็นพระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 10 แห่งราชวงศ์จักรี และพระองค์ที่ 54 ของราชอาณาจักรไทย ทรงครองราชสมบัติมาตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 จนถึงปัจจุบัน

พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์เดียวของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงได้รับการสถาปนาเป็นสยามมกุฎราชกุมารใน พ.ศ. 2515 ขณะมีพระชนมายุ 20 พรรษา ครั้นสมเด็จพระบรมชนกนาถเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 แม้คาดหมายว่าพระองค์จะทรงขึ้นครองราชย์โดยทันที แต่พระองค์ทรงผัดผ่อนเพื่อให้ประชาชนได้ไว้อาลัยต่อสมเด็จพระบรมชนกนาถ กระทั่งวันที่ 1 ธันวาคม จึงทรงรับการอัญเชิญขึ้นทรงราชย์อย่างเป็นทางการ แต่รัฐบาลให้นับรัชสมัยของพระองค์ย้อนหลังไปถึงวันสวรรคตของสมเด็จพระบรมชนกนาถ เนื่องด้วยพระชนมพรรษา 64 พรรษา พระองค์จึงทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยที่มีพระชนมพรรษาสูงที่สุดในวันขึ้นทรงราชย์ พระองค์ทรงจัดการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบรมชนกนาถในวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560 พระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระองค์จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 4–6 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ในช่วงต้นรัชกาล พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับ ณ พระตำหนักในรัฐบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี เป็นส่วนใหญ่ พระองค์ทรงอภิเษกสมรสและทรงหย่าร้างหลายคราว และทรงแต่งตั้งสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เป็นพระอัครมเหสีพระองค์ปัจจุบันในคราวราชาภิเษก พร้อมทั้งยังทรงมีพระชายาอื่นอยู่ในเวลาเดียวกัน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 100 ปีที่พระมหากษัตริย์ไทยทรงมีคู่ครองหลายพระองค์ พระองค์ทรงมีบทบาททางการเมือง โดยทรงให้แก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 ที่ผ่านการออกเสียงประชามติแล้ว ในประเด็นเกี่ยวกับพระราชอำนาจ และในการการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2562 พระองค์ทรงประณามการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีของทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี พระเชษฐภคินี นอกจากนี้ ในรัชสมัยของพระองค์ ยังมีการโอนกองกำลังและงบประมาณบางส่วนไปขึ้นกับพระองค์โดยตรง พร้อมทั้งมีการจัดระเบียบทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ใหม่ ให้อยู่ภายใต้พระราชอำนาจจัดการตามพระราชอัธยาศัย เปลี่ยนชื่อผู้ถือครองมาเป็นพระปรมาภิไธยของพระองค์โดยตรง และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สำนักงานพระคลังข้างที่ เป็นผู้ดูแลรักษาและจัดการผลประโยชน์ของทรัพย์สินในพระองค์ เว็บไซต์ บิสซิเนสอินไซเดอร์ ประเมินพระราชทรัพย์ของพระองค์ใน พ.ศ. 2563 ไว้ที่ 43 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระราชทรัพย์มากที่สุดในโลก

ระหว่าง พ.ศ. 2563–2564 เกิดการประท้วงทั่วประเทศเพื่อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์และจำกัดพระราชอำนาจ มีการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเปิดเผยมากขึ้น รวมถึงเรียกร้องเปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นสาธารณรัฐ ผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวถูกจับกุม คุมขัง และดำเนินคดีตามข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ สถิติระหว่างวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 ถึง 6 เมษายน พ.ศ. 2566 พบว่ามีผู้ถูกดำเนินคดีจำนวน 239 ราย