ใครออกเดทกับ Irene Papas?

Irene Papas

Irene Papas

Irene Papas or Irene Pappas (Greek: Ειρήνη Παππά, romanized: Eiríni Pappá, IPA: [iˈrini paˈpa]; born Eirini Lelekou (Greek: Ειρήνη Λελέκου, romanized: Eiríni Lelékou); 3 September 1929 – 14 September 2022) was a Greek actress and singer who starred in over 70 films in a career spanning more than 50 years. She gained international recognition through such popular award-winning films as The Guns of Navarone (1961), Zorba the Greek (1964) and Z (1969). She was a powerful protagonist in films including The Trojan Women (1971) and Iphigenia (1977). She played the title roles in Antigone (1961) and Electra (1962). She had a fine singing voice, on display in the 1968 recording Songs of Theodorakis.

Papas won Best Actress awards at the Berlin International Film Festival for Antigone and from the National Board of Review for The Trojan Women. Her career awards include the Golden Arrow Award in 1993 at Hamptons International Film Festival, and the Golden Lion Award in 2009 at the Venice Biennale.

อ่านเพิ่มเติม...
 

มาร์ลอน แบรนโด

มาร์ลอน แบรนโด

มาร์ลอน แบรนโด จูเนียร์ (อังกฤษ: Marlon Brando, Jr., 3 เมษายน พ.ศ. 2467 - 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2547) เป็นนักแสดงชาวอเมริกัน ได้รับรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม 2 สมัย จากการรับบทเป็น เทอร์รี มัลลอย ในภาพยนตร์เรื่อง กรรมกรท่าเรือ และรับบทเป็น วีโต คอร์เลโอเน ในภาพยนตร์เรื่อง เดอะ ก็อดฟาเธอร์ โดย มาร์ลอน แบรนโด ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักแสดงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของวงการภาพยนตร์อเมริกันและเป็นนักแสดงที่มีอิทธิพลมากที่สุดต่อนักแสดงในยุคศตวรรษที่ 20 นอกจากนี้นิตยสารไทม์​ยังได้จัดให้เขาอยู่ใน 100 บุคคลแห่งศตวรรษ นอกเหนือไปจากผลงานการแสดงของเขาที่เป็นที่ยอมรับและได้รับการกล่าวถึงไปทั่วโลกแล้ว มาร์ลอน แบรนโด ยังมีบทบาททางการเคลื่อนไหวเรียกร้องเกี่ยวกับสิทธิพลเมืองและการปฏิบัติต่อกลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกันในสหรัฐ​ ในหลายโอกาส

มาร์ลอน แบรนโด ศึกษาทางด้านการแสดงในปลายยุค 1940 จาก สเตลลา แอดเลอร์ นักแสดงละครบรอดเวย์รุ่นพี่ ซึ่งเธอเป็นลูกศิษย์ทางการแสดงของ คอนสแตนติน สตานิสลาฟสกี ครูสอนการแสดงละครเวที​ชื่อดังชาวรัสเซีย โดย แอดเลอร์ ได้สอนแบรนโดในเรื่องของเทคนิคและวิธีการแสดงที่เน้นการเข้าถึงบทบาทและความสมจริงในบุคคลิกของตัวละครให้แก่เขา และทำให้เขากลายเป็นนักแสดงชายคนแรกๆที่นำศิลปะการแสดงแบบ สตานิสลาฟสกี ออกไปสู่การรับชมของผู้ชมจำนวนมาก แบรนโด เป็นที่รู้จักในวงการภาพยนตร์อเมริกันหลัง​จากที่เขาเริ่มหันมาแสดงภาพยนตร์แทนการแสดงในละครบรอดเวย์ โดยเขาเริ่มมีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1950​ ซึ่งเขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ถึง 4 สมัยติดต่อกัน ​จากการรับบทนักแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง A Streetcar Named Desire -​ รถรางสายปรารถนา (ค.ศ. 1951)​ ซึ่งเขาเคยแสดงเรื่องนี้ไว้จนประสบความสำเร็จมาแล้วเมื่อครั้งเป็นละครบรอดเวย์ที่ต้องเล่นต่อหน้าผู้ชมเมื่อปี ค.ศ. 1947 ต่อมาเขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์อีกครั้งจากการแสดงเป็น เอมิเลียโน ซาปาตา ในภาพยนตร์เรื่อง Viva Zapata! ​(ค.ศ. 1952) และจากการแสดงเป็น มาร์ก แอนโทนี​ ในภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากบทประพันธ์ดั้งเดิมของ วิลเลียม เชกสเปียร์​ เรื่อง จูเลียส ซีซาร์​ (ค.ศ. 1953) แต่การเข้าชิงรางวัลออสการ์ทั้ง 3 สมัยของเขาต้องพ่ายแพ้ให้กับ ฮัมฟรีย์ โบการ์ต, แกรี คูเปอร์​ และ วิลเลียม โฮลเดน​ ก่อนที่ในช่วงปลายปี 1953 เขาจะแสดงภาพยนตร์แนวอาชญากรรมเรื่อง The Wild One (ค.ศ. 1953) ​ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงและทำให้ภาพลักษณ์ของเขาจากการรับบทเป็น จอห์นี สแตรบเลอร์ หัวหน้าแก็งค์มอร์เตอร์ไซค์ เดอะ แบล็ค ราเบลส์ กลายเป็นตัวละครชายที่เป็นแบบอย่างทางแฟชันการแต่งกายของวัยรุ่นทั่วโลกในยุคคริสต์ทศวรรษที่ 50 เช่น การตัดผมและไว้จอนที่ส่งผลต่อศิลปินหรือนักแสดงยุคนั้นเช่น เจมส์ ดีน และ เอลวิส เพรสลีย์ โดยเอลวิส ได้นำภาพลักษณ์ของมาร์ลอน แบรนโด ในภาพยนตร์เรื่องนี้ไปเป็นบทบาทในการถ่ายทำเพลง Jailhouse Rock ​นอกจากนี้ยังมีแฟชันการสวมแจ็คเก็ตหนังสีดำ การสวมหมวกเอียงไปด้านข้าง และทำให้เกิดความนิยมในจักรยานยนตร์อังกฤษยี่ห้อ ไทรอัมพ์​ รุ่น Thunderbird ​เกิดขึ้นไปทั่วสหรัฐอเมริกา

จนกระทั่งในปี 1954 แบรนโด ก็มาประสบความสำเร็จในการเข้าชิงรางวัลออสการ์เป็นครั้งที่ 4 โดยเขาได้รับรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมเป็นครั้งแรกจากการรับบท เทอร์รี มัลลอย ในภาพยนตร์เรื่อง On the Waterfront -​ กรรมกรท่าเรือ ซึ่งจากบทบาทดังกล่าวนอกจากจะทำให้เขาได้รับรางวัลที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดอย่างออสการ์แล้ว การยังทำให้เขาสามารถคว้ารางวัลลูกโลกทองคำ​ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมประเภทภาพยนตร์ดราม่า และรางวัลแบฟตา สาขานักแสดงนำชายชาวต่างชาติยอดเยี่ยม อีกด้วย

ในช่วงเวลาดังกล่าวแม้ มาร์ลอน แบรนโด จะเป็นนักแสดงชายที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่ในช่วงยุคคริสต์ทศวรรษ 1960 กลับเป็นช่วงเวลาที่ชื่อเสียงในวงการภาพยนตร์ของเขาเริ่มเสื่อมถอยและไม่ประสบความสำเร็จในวงการภาพยนตร์เท่าที่ควร เริ่มจากการแสดงในภาพยนตร์แนวคาวบอยตะวันตกเรื่อง One-Eyed Jack (ค.ศ. 1961)​ ที่นอกจากเขาจะต้องแสดงนำแล้วยังต้องกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยตนเองแทนที่ สแตนลีย์ คูบริก​ ที่ถูกปลดออกไป แม้ทางค่ายจะลงทุนสูงด้วยการถ่ายทำให้เป็นภาพสีแต่หลังจากภาพยนตร์ออกฉายกลับไม่สามารถทำเงินได้และถึงขั้นต้องขาดทุนย่อยยับ ส่งผลให้แบรนโด ไม่รับงานกำกับภาพยนตร์เรื่องใดอีกเลย ก่อนที่ชื่อเสียงด้านลบเรื่องความเอาแต่ใจและบุคลิกที่ปกครองยากของเขาจะเป็นที่เลื่องลือในวงการมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งในปี 1962 เขาได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง Mutiny on the Bounty -​ กัปตันทมิฬ แต่ถูกต่อต้านอย่างหนักจากบรรดาสื่อมวลชนจากพฤติกรรมเอาแต่ใจของเขาขณะถ่ายทำอันเป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวาง ตลอดจนการที่เขามักจะไม่ให้ความร่วมมือกับกองถ่ายหากเป็นเรื่องที่ไม่ถูกใจ ส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการถ่ายทำและงบประมาณที่บานปลาย โดยถึงแม้ตัวภาพยนตร์จะได้รับคำวิจารณ์ที่หลากหลายและได้รับการเสนอให้เข้าชิงรางวัลออสการ์มากถึง 7 สาขา แต่ด้วยกระแสโจมตีจากสื่อมวลชนที่ล้วนมุ่งไปที่พฤติกรรมความร้ายกาจในกองถ่ายของ มาร์ลอน แบรนโด ซึ่งเป็นนักแสดงนำของเรื่องโดยตรง ทำให้ภาพยนตร์ขาดทุนทางรายได้อย่างมหาศาล และทำให้ผลงานการแสดงภาพยนตร์เรื่องต่อๆมาของเขาในยุคนั้นไม่ได้รับการกล่าวถึงจากสื่อต่างๆ มากเท่าที่ควร

แบรนโด กลับมาสร้างชื่ออย่างยิ่งใหญ่อีกครั้งจากการรับบทเป็น วีโต คอร์เลโอเน ในภาพยนตร์ที่สร้างจากบทประพันธ์ของ มาริโอ พูโซ เรื่อง เดอะ ก็อดฟาเธอร์​ (ค.ศ. 1972) โดย พูโซ เจ้าของประพันธ์ต้องการให้ มาร์ลอน แบรนโด แสดงในบทบาทนี้ แต่ถูกหลายฝ่ายคัดค้านโดยเฉพาะจากทางค่ายภาพยนตร์อย่างพาราเมาต์พิกเจอส์​ เนื่องจากกิตติศัพท์ของเขาในกองถ่ายและอารมณ์ที่คาดเดาได้ยาก ส่วนฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา​ผู้กำกับภาพยนตร์ก็อยากได้ ลอเรนซ์ โอลิวีเอร์​ มารับบทนี้มากกว่าแต่ก็ถูกตัวแทนของ โอลิวีเอร์ ปฏิเสธ จนทำให้ทีมงานต้องคัดเลือกผู้รับบทจากนักแสดงชายหลายคนทั้ง แอนโทนี ควินน์, จอร์จ ซี. สกอตต์, ​ริชาร์ด คอนเต และ ออร์สัน เวลส์ ​แต่ก็พบว่ายังไม่ใช่นักแสดงที่มีบุคลิกเหมาะสมกับบทบาทดังกล่าว สุดท้ายตัวเลือกจึงเหลือแค่เพียง ​เออร์เนสต์ บอร์กไนน์​ และ มาร์ลอน แบรนโด ซึ่งหลังจากที่ แบรนโด เข้ารับการทดสอบบทและแสดงให้ทุกคนเห็นถึงความสมจริงอย่างยิ่งกับการเป็นตัวละคร วีโต คอร์เลโอเน ก็ทำให้ทุกคนเปลี่ยนใจมอบบทบาทดังกล่าวให้เขาอย่างไร้ข้อกังขาแม้จะถูกคัดค้านอย่างหนักในตอนแรก ก่อนที่ความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ของภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำให้สื่อทั่วโลกหันมาชื่นชมฝีมือในการแสดงของเขาอีกครั้ง โดยเขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงทั้งรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม​, รางวัลลูกโลกทองคำ​ และ รางวัลแบฟตา​ โดยถึงแม้ว่าในที่สุดเขาจะได้รับรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมเป็นสมัยที่ 2 ของตนเองและกลับมามีชื่อเสียงอย่างยิ่งใหญ่ในโลกภาพยนตร์อีกครั้ง แต่เขาก็กลับสร้างความตื่นตะลึงในวงการเมื่อปฏิเสธที่จะขึ้นไปรับรางวัลออสการ์ โดยเขาได้มอบหมายให้ ซาชีน ลิตเติลเฟเธอร์ นักแสดงหญิงที่มีเชื้อสายเผ่าอาเปเช เป็นตัวแทนขึ้นไปบนเวทีออสการ์เพื่อแสดงการประท้วงวงการภาพยนตร์อเมริกันในการปฏิบัติต่อกลุ่มชนพื้นเมืองสหรัฐ ก่อนที่เขาจะมีผลงานอันเป็นที่น่าจดจำในภาพยนตร์ที่กำกับโดย แบร์นาโด แบร์โตลุชชี​เรื่อง รักลวงในปารีส ที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามเมื่อทำรายได้มากกว่าทุนสร้างถึง 90 เท่า และทำให้เขาถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์อีกครั้งแม้ว่าในครั้งก่อนเขาจะปฏิเสธที่จะขึ้นเวทีก็ตาม ​

ที่นอกจากผลงานการแสดงภาพยนตร์แล้ว มาร์ลอน แบรนโด ยังมีผลงานการแสดงละครโทรทัศน์​ทางช่องเอบีซี​เรื่อง รูตส์: เดอะเน็กซ์เจเนเรชันส์ (ในประเทศไทยออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3​)​ โดยเขาได้รับรางวัลไพรม์ไทม์เอมมี​ สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ประเภทละครโทรทัศน์

อ่านเพิ่มเติม...