ใครออกเดทกับ วาซีลี คันดินสกี?

  • Gabriele Münter วันที่ วาซีลี คันดินสกี จาก ? ถึง ?. ช่องว่างอายุ 10 ปี 2 เดือน 15 วัน.

วาซีลี คันดินสกี

วาซีลี คันดินสกี

วาซีลี วาซีเลียวิช คันดินสกี (รัสเซีย: Васи́лий Васи́льевич Канди́нский; อังกฤษ: Wassily Kandinsky) เกิดเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 1866 ในนครมอสโก จักรวรรดิรัสเซีย พ่อของเขามาจากไซบีเรีย เป็นพ่อค้าขายน้ำชา แม่ของเขาเป็นชาวมอสโก พ่อแม่ของเขาได้หย่าร้างกันใน ค.ศ. 1871 ต่อมาใน ค.ศ. 1876 เขาได้เข้าเรียนเปียโนและเชลโลที่ Grammar School ในเมืองโอเดสซา (ปัจจุบันอยู่ในประเทศยูเครน) และเขายังได้เรียนจิตรกรรมตั้งแต่อายุยังน้อย แต่เมื่อเขาไปเรียนที่มหาวิทยาลัยมอสโก ใน ค.ศ. 1886 เขาได้เรียนในคณะเศรษฐศาสตร์และกฎหมาย ซึ่งเน้นศึกษาเรื่องสังคมวิทยา ชาติพันธุ์วรรณนา และกฎหมายของเกษตรกรในแคว้นโวลอกดา (Vologda) และเขาได้เขียนวิทยานิพนธ์ของเขาเกี่ยวกับกฎหมายค่าจ้างของคนงาน

เมื่ออายุ 29 ปี คันดินสกีได้เห็นศิลปะภาพวาดในลัทธิประทับใจ (impressionism) ของจิตรกรฝรั่งเศสเป็นครั้งแรก เขารู้สึกดีกับงานศิลปะชิ้นนั้นมาก หลังจากที่ได้รับชมงานศิลปะของจิตรกรฝรั่งเศสก็ทำให้เขาไม่ทำงานของมหาวิทยาลัย และยังลาออกจากการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเพื่อมาเป็นจิตรกรวาดภาพ จนกระทั่งอายุได้ 31 ปีจึงเดินทางไปยังเมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี เพื่อศึกษาเทคนิคการวาดภาพกับอันทอน อัชเบ (Anton Ažbe) และฟรันซ์ ฟอน ชตุค (Franz von Stuck) ในช่วงเวลานั้นจิตรกรชาวเยอรมันกำลังลุ่มหลงในงานศิลปะแนวอาร์ตนูโวซึ่งเป็นงานศิลปะที่ใช้ลายเส้นเป็นดอกไม้ ทำให้เขาได้ศึกษาอาร์ตนูโวมาพอประมาณ

เมื่ออายุประมาณ 30 ปี เขาได้เข้าทำงานในสำนักกฎหมายและได้ย้ายไปยังเมืองมิวนิกใน ค.ศ. 1896 และที่นั่นเขาได้เจอกับโรงเรียนศิลปะและได้เข้าเรียนใน ค.ศ. 1900 และระหว่างปี ค.ศ. 1901-1904 เขาได้เข้าร่วมกับกลุ่มศิลปินที่เรียกตัวเองว่า "ฟาลังกซ์" (Phalanx) ต่อมาเขาได้เดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ อย่างฮอลแลนด์, ตูนิส และเมืองอื่น ๆ โดยเขาใช้เวลาเป็นปีอยู่ที่กรุงปารีส (ค.ศ. 1906-1907) และเขาได้ก่อตั้งสมาคมศิลปินใหม่แห่งมิวนิก (Neue Künstlervereinigung München) ร่วมกับกาบรีเอเลอ มึนเทอร์ (Gabriele Münter) โดยเขาเป็นประธานสมาคม อยู่ในเมืองมิวนิกและมูร์เนา

ใน ค.ศ. 1911 เขาและศิลปินคนอื่น ๆ ได้ออกจากสมาคมศิลปินใหม่และไปสมาคมกับฟรันซ์ มาร์ค เพื่อร่วมกันร่างบทบรรณาธิการเพื่อแก้ไขปฏิทินบันทึกเหตุการณ์ของกลุ่มเดอร์เบลาเออไรเทอร์ (Der Blaue Reiter) ในปีเดียวกันหนังสือที่ชื่อ über das Geistige in der Kunst (On the Spiritual in Art) ของเขาก็ได้รับการตีพิมพ์ และในปีต่อมาบทบรรณาธิการของปฏิทินบันทึกเหตุการณ์ของกลุ่มเดอร์เบลาเออไรเทอร์บทแรกก็ได้ขึ้นตามมา

หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้น เขาได้ไปยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และกลับไปยังมอสโก ที่ซึ่งเขาได้จัดองค์กรและสถาบันหลังจากเหตุการณ์ปฏิวัติในเดือนตุลาคม ใน ค.ศ. 1921 เขากลับไปอยู่ที่ประเทศเยอรมนีกับนีนา (Nina) ภรรยาคนที่ 2 ของเขา และใน ค.ศ. 1922 เขาได้อยู่ในที่เมืองไวมาร์ โดยเขาได้รับแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์ของเบาเฮาส์ (Bauhaus) และในเมืองไวมาร์ เขาได้เข้าร่วมกลุ่มดีเบลาเออเฟียร์ (Die Blaue Vier) ที่มีสมาชิกรวมทั้งเพาล์ เคล (Paul Klee) และอาเลกเซย์ ฟอน ยัฟเลนสกี ผู้ซึ่งที่เขาได้เจอครั้งแรกที่เมืองมิวนิกในปีก่อนและเป็นเพื่อนร่วมงานในเบาเฮาส์ ในปี 1926 เขาได้เผยแพร่หนังสือของเขาที่ชื่อ Punkt und Linie zu Fläche ใน ค.ศ. 1928 เขาได้มีโอกาสออกแบบรูปแบบการแสดงผลงานของมูร์ซอร์กสกี (Mussorgsky) ที่งานนิทรรศการในโรงละครเมืองเดสเซา (Dessau) และเมื่อเบาเฮาส์ได้ถูกปิดตัวลงอย่างสมบูรณ์ใน ค.ศ. 1933 โดยกลุ่มสังคมนิยมแห่งชาติ เขาจึงอพยพย้ายไปเมืองเนอยี-ซูร์-แซน ใกล้กับปารีส ที่ซึ่งเขาได้จัดงานนิทรรศการงานเดี่ยวที่สร้างชื่อเสียงในระดับนานาชาติให้แก่เขาใน ค.ศ. 1929 เขาได้เดินทางไปเยี่ยมเพาล์ เคล ที่สวิตเซอร์แลนด์ใน ค.ศ. 1937 และเขาได้ย้ายไปเมืองโกตแร (Cauterets) ในแถบเทือกเขาพิเรนีสเป็นการชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงจากถูกโจมตีของเยอรมนี หลังจากนั้นเขาก็ย้ายกลับมาที่เนอยี-ซูร์-แซน และอาศัยอยู่ที่นั่นจนเขาเสียชีวิตใน ค.ศ. 1944

นอกจากนี้เขายังได้รู้จักกับกลุ่มศิลปินลัทธิประทับใจตอนที่เขาได้จัดนิทรรศการที่มอสโกใน ค.ศ. 1896 โดยเขาเริ่มพัฒนาทัศนียภาพของงานเขียนในลัทธิประทับใจใหม่ (neo-impressionism) ซึ่งรับอิทธิพลจากอาร์ตนูโวแบบเยอรมัน (Jugendstil) โดยเฉพาะช่วงต้นก่อนที่มีแนวโน้มไปเป็นงานนามธรรม และเมื่อเขาได้ผันตัวไปทำงานด้านจิตรกรรมนามธรรม เขาได้มีงานเขียนของเขาชื่อ Rapprochement ประมาณปี ค.ศ. 1910 เขามีเหตุผลทฤษฎีและแนวคิดในงานจิตรกรรมนามธรรมเกี่ยวกับการรวมกันของความรู้เรื่องเทววิทยาและทฤษฎีเชิงวัฒนธรรม นำมาใช้ร่วมกันจนเกิดสุนทรียศาสตร์ในงานจิตรกรรมนามธรรมของเขา เขาได้นำคติจากนิทานพื้นบ้านมาใช้ในงานศิลปะตั้งแต่เขาอยู่ในรัสเซีย เขาได้รับวัฒนธรรมที่เรียบง่ายจากความพยายามที่จะวาดภาพตามคติประเพณีดั้งเดิมจากการที่เขาไปอยู่บ้านใหม่ของเขาในเมืองมูร์เนา ซึ่งแนวคิดนี้เป็นแรงบันดาลใจให้กับกลุ่มเดอร์เบลาเออไรเทอร์ ที่พวกเขาไม่เน้นเรื่องรูปทรง แต่จะเน้นเรื่องความแปลกประหลาด (exotic) และความเป็นศิลปะ (artistic) คติความเชื่อแบบพื้นบ้านยังแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของงานนามธรรม ที่มันมีมากกว่าการวางแบบแผนที่สมมาตร ซึ่งนี่ก็เป็นลักษณะเด่นของงานในช่วงหลังของเขาในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เป็นต้นไป

อ่านเพิ่มเติม...
 

Gabriele Münter

Gabriele Münter
เกิดเมื่อวันที่
คำอธิบายที่จะเพิ่มเร็ว ๆ นี้