ใครออกเดทกับ ซีมอง โบลีวาร์?

  • Manuela Sáenz วันที่ ซีมอง โบลีวาร์ จาก ? ถึง ?. ช่องว่างอายุ 14 ปี 5 เดือน 3 วัน.

ซีมอง โบลีวาร์

ซีมอง โบลีวาร์

พลตรี ซิมอน โฮเซ อันโตนิโอ เด ลา ซานติซิมา ตรินิดัด โบลิบาร์ ปอนเต อี ปาลาซิโอส บลังโก (สเปน: Simón José Antonio de la Santísima Trinidad Bolívar Ponte y Palacios Blanco, ออกเสียง: [siˈmom boˈliβaɾ] ; 24 กรกฎาคม ค.ศ. 1783 – 17 ธันวาคม ค.ศ. 1830) เป็นนายทหารชาวเวเนซุเอลาและเป็นผู้นำทางการเมืองที่นำประเทศโคลอมเบีย, เวเนซุเอลา, เอกวาดอร์, ปานามา, เปรู และโบลิเวีย ประกาศอิสรภาพจากเจ้าอาณานิคมอย่างจักรวรรดิสเปน ทำให้ตัวเขาเป็นที่รู้จักกันในนาม ผู้ปลดปล่อย หรือ ผู้ปลดปล่อยแห่งลาตินอเมริกา

โบลิบาร์เป็นชาวการากัสมาแต่กำเนิด ตัวเขาเกิดในครอบครัวของชนชั้นสูงที่ร่ำรวย และตามปกติสำหรับทายาทของครอบครัวชนชั้นสูงในสมัยนั้น ทำให้เขาถูกส่งตัวไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศตั้งแต่อายุยังน้อย โดยเริ่มต้นอาศัยอยู่ที่สเปนตั้งแต่อายุ 16 ปี และต่อมาได้ย้ายไปที่ฝรั่งเศส ขณะที่เขาอาศัยอยู่ในยุโรป เขาได้รับแนวคิดที่เกี่ยวกับอิทธิพลของยุคเรืองปัญญาเป็นอย่างมาก นั่นเองจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้โบลิบาร์ต้องการที่จะล้มล้างการปกครองของสเปนในอาณานิคมลาตินอเมริกา จากความวุ่นวายภายในสเปนในช่วงสงครามคาบสมุทร โบลิบาร์จึงเริ่มรณรงค์เพื่อเอกราชของอเมริกาใน ค.ศ. 1808 การรณรงค์เพื่อเอกราชของโคลอมเบีย (กรันโกลอมเบีย)—ต่อมานิวกรานาดาถูกควบรวมด้วย เนื่องจากชัยชนะที่ยุทธการที่โบยากาเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ. 1819 เขาประกาศจัดตั้งสภาคองเกรสแห่งชาติขึ้น แม้จะมีอุปสรรคมากมาย รวมถึงการมาถึงของกองกำลังสำรวจสเปนขนาดใหญ่ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่บรรดานักปฏิวัติก็มีชัยเหนือสเปนในที่สุด ภายหลังการได้รับชัยชนะที่ยุทธการที่การาโบโบใน ค.ศ. 1821 ซึ่งทำให้เวเนซุเอลาเป็นประเทศเอกราชอย่างสมบูรณ์

หลังจากชัยชนะเหนือราชาธิปไตยสเปน โบลิบาร์ได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับการสถาปนาสหภาพแห่งแรกของประเทศเอกราชในลาตินอเมริกา โดยเขาได้เป็นประธานาธิบดีแห่งกรันโกลอมเบียตั้งแต่ ค.ศ. 1819 จนถึง ค.ศ. 1830 ผ่านการรณรงค์ทางทหาร เขาได้ขับไล่ผู้ปกครองชาวสเปนออกจากเอกวาดอร์, เปรู และโบลิเวีย เขาได้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีหลายประเทศแถบลาตินอเมริกา ได้แก่ กรันโกลอมเบีย (ปัจจุบันคือ เวเนซุเอลา, โคลอมเบีย, ปานามา และเอกวาดอร์), เปรู และโบลิเวีย แต่ไม่นานหลังจากนั้น อันโตนิโอ โฮเซ เด ซูเกร รองผู้บังคับบัญชาของเขา ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานาธิบดีแห่งโบลิเวีย โบลิบาร์มีความตั้งใจที่จะสร้างความแข็งแกร่งและสร้างความสามัคคีภายในอาณานิคมอเมริกาของสเปน เพื่อที่จะสามารถป้องกันภัยคุกคามที่หลงเหลืออยู่จากสเปนและเหล่าพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์ในยุโรป รวมถึงมหาอำนาจแห่งใหม่อย่างสหรัฐอเมริกาด้วย ในช่วงที่เขามีอำนาจถึงขีดสุด โบลิบาร์ได้ปกครองดินแดนตั้งแต่อาร์เจนตินาจนถึงบริเวณทะเลแคริบเบียน

โบลิบาร์ถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติในประเทศส่วนใหญ่ของอเมริกาใต้สมัยใหม่ และถือเป็นหนึ่งในวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของขบวนการอิสรภาพในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ร่วมกับโฆเซ เด ซาน มาร์ติน, ฟรันซิสโก เด มิรันดา และคนอื่น ๆ จวบจนบั้นปลายชีวิตของเขา โบลิบาร์สิ้นหวังกับสถานการณ์ภายในประเทศบ้านเกิดของเขา ด้วยคำพูดที่มีชื่อเสียงว่า "ทุก ๆ คน ที่มีส่วนร่วมในการปฏิวัติ กำลังทำเพียงไถท้องทะเล" หรือในการปราศรัยต่อสภาร่างรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐโคลอมเบีย โบลิบาร์กล่าวว่า "พลเมืองทั้งหลาย! ฉันอายที่กล่าวแบบนี้: อิสรภาพเป็นผลประโยชน์เพียงอย่างเดียวที่เราได้รับ เพื่อสร้างความเสียหายให้กับส่วนที่เหลือทั้งหมด"

อ่านเพิ่มเติม...
 

Manuela Sáenz

Manuela Sáenz

Manuela Sáenz de Vergara y Aizpuru (Quito, Viceroyalty of New Granada, 27 December 1797 – Peru, 23 November 1856) was an Ecuadorian revolutionary heroine of South America who supported the revolutionary cause by gathering information, distributing leaflets and protesting for women's rights. Manuela received the Order of the Sun ("Caballeresa del Sol" or 'Dame of the Sun'), honoring her services in the revolution.

Sáenz married a wealthy English doctor in 1817 and became a socialite in Lima, Peru. This provided the setting for involvement in political and military affairs, and she became active in support of revolutionary efforts. Leaving her husband in 1822, she soon began an eight-year collaboration and intimate relationship with Simón Bolívar that lasted until his death in 1830. After she prevented an 1828 assassination attempt against him and facilitated his escape, Bolívar began to call her "Libertadora del libertador" ("liberator of the liberator"). In an unknown letter she wrote, she claimed that "the Liberator is immortal", despite the fact that she was responsible for his survival. Manuela's role in the revolution after her death was generally overlooked until the late twentieth century, but now she is recognized as a feminist symbol of the 19th-century wars of independence.

อ่านเพิ่มเติม...