ใครออกเดทกับ จักรพรรดินโปเลียนที่ 1?

  • Eléonore Denuelle de La Plaigne วันที่ จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 จาก ? ถึง ?. ช่องว่างอายุ 18 ปี 0 เดือน 29 วัน.

  • Pauline Fourès วันที่ จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 จาก ? ถึง ?. ช่องว่างอายุ 8 ปี 7 เดือน 0 วัน.

  • Albine de Montholon วันที่ จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 จาก ? ถึง ?. ช่องว่างอายุ 10 ปี 4 เดือน 3 วัน.

  • Giuseppina Grassini วันที่ จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 จาก ? ถึง ?. ช่องว่างอายุ 3 ปี 8 เดือน 3 วัน.

  • Emilie Kraus von Wolfsberg วันที่ จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 จาก ? ถึง ?. ช่องว่างอายุ 16 ปี 2 เดือน 2 วัน.

  • Marie Walewska วันที่ จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 จาก ? ถึง ?. ช่องว่างอายุ 18 ปี 3 เดือน 22 วัน.

  • Adèle Duchâtel วันที่ จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 จาก ? ถึง ?. ช่องว่างอายุ 12 ปี 10 เดือน 19 วัน.

  • Elisabeth de Vaudey วันที่ จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 จาก ? ถึง ?. ช่องว่างอายุ 4 ปี 2 เดือน 12 วัน.

จักรพรรดินโปเลียนที่ 1

จักรพรรดินโปเลียนที่ 1

นโปเลียน โบนาปาร์ต (ฝรั่งเศส: Napoléon Bonaparte) หรือชื่อเกิดเป็นภาษาอิตาลีคือ นาโปเลโอเน ดิ บูโอนาปาร์เต (อิตาลี: Napoleone di Buonaparte) มีพระนามเล่นว่า "เลอคอร์ส"(ชาวคอร์ซิกา) หรือ "เลอเปอติ กาโปรัล" (นายสิบน้อย) เป็นรัฐบุรุษและผู้นำทหารชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงในฐานะผู้บัญชาการทหารปืนใหญ่ในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส เขานำการทัพที่ประสบความสำเร็จมากมายในช่วงสงครามปฏิวัติฝรั่งเศส และปราบดาภิเษกเป็นจักรพรรดิแห่งฝรั่งเศสในพระนามว่า จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ตั้งแต่ปี 1804 จนถึง 1814 และอีกครั้งในช่วงเวลาสั้น ๆ ในปี 1815 ในช่วงสมัยร้อยวัน นโปเลียนครอบงำกิจการในทวีปยุโรปและทั่วโลกนานกว่าทศวรรษ ในขณะที่ได้นำพาฝรั่งเศสเข้าสู้รบกับกลุ่มพันธมิตรประเทศรอบด้านในช่วงสงครามนโปเลียน เขาได้รับชัยชนะในศึกหลายครั้ง และแผ่เขตอิทธิพลกว้างใหญ่ไพศาล เขาก่อตั้งจักรวรรดิขนาดใหญ่ที่ปกครองเกือบทั่วทวีปยุโรปก่อนที่จะล่มสลายในปี 1815 เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้บัญชาการทหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ การทำสงครามและการทัพของเขาได้ถูกบรรจุไว้ในหลักสูตรการศึกษาในโรงเรียนวิชาทหารทั่วโลก มรดกทางการเมืองและวัฒนธรรมของนโปเลียนทำให้เขาเป็นหนึ่งในผู้นำที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ถกเถียงกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ

นโปเลียนเป็นชาวเกาะคอร์ซิกาโดยกำเนิด นโปเลียนเกิดในครอบครัวชาวอิตาลีที่ค่อนข้างจะเรียบง่าย เพียงไม่กี่เดือนภายหลังจากเกาะแห่งนี้จะถูกผนวกรวมเข้ากับราชอาณาจักรฝรั่งเศส เขาได้เข้ารับราชการทหารในฐานะนายทหารปืนใหญ่ในกองทัพหลวงฝรั่งเศส ต่อมาเมื่อการปฏิวัติฝรั่งเศสปะทุขึ้นในปี 1789 เขาก็มีตำแหน่งทางทหารสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และได้รับยศนายพลจากรัฐบาลคณะปฏิวัติในวัยเพียง 24 ปี จนในที่สุดคณะดีแร็กตัวร์ฝรั่งเศสก็แต่งตั้งให้เขาเป็นผู้บัญชาการกองทัพแห่งอิตาลี ภายหลังจากที่เขาได้เข้าปราบปรามการก่อจลาจลในวันที่ 13 เดือนว็องเดมีแยร์ ซึ่งทำการต่อต้านรัฐบาลโดยกลุ่มก่อกบฎฝ่ายนิยมเจ้า เมื่ออายุ 26 ปี เขาได้เข้าร่วมปฏิบัติการทหารเป็นครั้งแรกในการต่อกรกับออสเตรียและราชวงศ์อิตาลีที่อยู่เคียงข้างกับราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค และสามารถเอาชนะการรบเกือบทุกครั้งในการพิชิตคาบสมุทรอิตาลีในหนึ่งปี ในขณะที่ได้ก่อตั้ง "สาธารณรัฐน้องสาว" ด้วยการสนับสนุนในท้องถิ่นและกลายเป็นวีรบุรุษสงครามในฝรั่งเศส

ในปี 1798 เขาได้นำคณะเดินทางทหารไปยังอียิปต์ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของอำนาจทางการเมือง เขาได้ก่อรัฐประหารในเดือนพฤศจิกายน 1799 และกลายเป็นกงสุลเอกแห่งสาธารณรัฐ ภายหลังจากสนธิสัญญาอาเมียงในปี 1802 นโปเลียนได้หันไปสนใจในอาณานิคมของฝรั่งเศส เขาได้ขายดินแดนลุยเซียนาให้กับสหรัฐอเมริกาและเขาได้พยายามรื้อฟื้นทาสในดินแดนอาณานิคมทะเลแคริเบียนของฝรั่งเศส อย่างไรก็ตามในขณะที่เขาได้ประสบความสำเร็จในรื้อฟื้นทาสในทางตะวันออกของทะเลแคริเบียน นโปเลียนได้ล้มเหลวในความพยายามที่จะเข้าปราบปรามในเมืองแซ็ง-ดอแม็งก์ และดินแดนอาณานิคมที่ฝรั่งเศสเคยอวดอ้างว่าเป็น "ไข่มุกแห่งแอนทิลลีส" ได้กลายเป็นอิสระจนกลายเป็นประเทศเฮติในปี 1804 ความทะเยอทะยานของนโปเลียนและการยอมรับจากสาธารณชนเป็นแรงบันดาลใจให้เขาก้าวไปให้ไกลกว่านี้และเขาได้กลายเป็นจักรพรรดิองค์แรกของฝรั่งเศสในปี 1804 ความแตกต่างที่ยากจะเข้าใจกับบริติชซึ่งหมายความว่าฝรั่งเศสกำลังเผชิญหน้ากับฝ่ายสหสัมพันธมิตรครั้งที่สามในปี 1805 นโปเลียนได้ทำลายฝ่ายสหสัมพันธมิตรนี้ลงด้วยชัยชนะที่เด็ดขาดในการทัพอุล์ม และการได้รับชัยชนะครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์เหนือจักรวรรดิรัสเซียและจักรวรรดิออสเตรียในยุทธการที่เอาสเทอร์ลิทซ์ซึ่งนำไปสู่การล่มสลายของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์

นโปเลียนได้ก่อตั้งพันธมิตรฝรั่งเศส-เปอร์เซียและต้องการที่จะสร้างพันธมิตรฝรั่งเศส-อินเดียขึ้นมาอีกครั้งกับสุลต่านติปู จักรพรรดิอินเดียชาวมุสลิม โดยจัดหากองทัพที่ได้รับการฝึกฝนจากฝรั่งเศสในช่วงสงครามอังกฤษ-มัยซอร์ ด้วยมีจุดมุ่งหมายอย่างต่อเนื่องในการเปิดทางเพื่อเข้าโจมตีบริติชในอินเดีย ในปี 1806 ฝ่ายสหสัมพันธมิตรครั้งที่สี่ได้จับอาวุธปืนลุกขึ้นมาต่อสู้รบกับเขาเพราะปรัสเซียเริ่มกังวลเกี่ยวกับการขยายอิทธิพลทั่วทั้งทวีปของฝรั่งเศส นโปเลียนได้เอาชนะปรัสเซียได้อย่างรวดเร็วในยุทธการที่เยนา–เอาเออร์ชเต็ท จากนั้นกองทัพใหญ่ของเขาได้กรีฑาทัพเข้าลึกไปในยุโรปตะวันออกและทำลายล้างกองทัพรัสเซียในเดือนมิถุนายน 1807 ในยุทธการที่ฟรีดลันท์ จากนั้นฝรั่งเศสได้บีบบังคับให้ประเทศของฝ่ายสหสัมพันธมิตรครั้งที่สี่ที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ทำการลงนามในสนธิสัญญาทิลซิทในเดือนกรกฎาคม 1807 ได้นำพาความสงบสุขที่ไม่สบายใจมาสู่ทั่วทั้งทวีป ทิลซิทที่มีความหมายว่า น้ำขึ้น ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของจักรวรรดิฝรั่งเศส ในปี 1809 ออสเตรียและบริติชได้ท้าทายฝรั่งเศสอีกครั้งในช่วงสงครามสหสัมพันธมิตรครั้งที่ห้า แต่นโปเลียนได้ยึดครองทวีปยุโรปได้อย่างมั่นคง ภายหลังจากได้รับชัยชนะในยุทธการที่วากรัมในเดือนกรกฎาคม

นโปเลียนได้เข้ายึดครองคาบสมุทรไอบีเรีย คาดหวังว่าจะขยายระบบทวีปและขัดขวางการค้าของบริติชกับแผ่นดินใหญ่ในทวีปยุโรป และประกาศให้โฌแซ็ฟ โบนาปาร์ต พระเชษฐาของพระองค์ ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งสเปน ในปี 1808 สเปนและโปรตุเกสได้ก่อการลุกฮือด้วยการสนับสนุนของบริติช สงครามคาบสมุทรได้กินเวลาถึงหกปี โดยมีการรบแบบกองโจรที่กว้างขวาง และจบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตรในปี 1814 ระบบทวีปทำให้เกิดความขัดแย้งทางการทูตขึ้นมาอีกครั้งระหว่างฝรั่งเศสและรัฐบริวาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ รัสเซีย รัสเซียไม่เต็มใจที่จะแบกรับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการค้าที่ลดลงและละเมิดระบบทวีปอยู่เป็นประจำ ทำให้นโปเลียนต้องเข้าสู่สงครามอีกครั้ง ฝรั่งเศสได้เปิดฉากการบุกครองรัสเซียครั้งใหญ่ในช่วงฤดูร้อน ปี 1812 การทัพครั้งนี้ได้ทำลายเมืองต่าง ๆ ของรัสเซีย แต่ไม่ได้รับชัยชนะที่เด็ดขาดอย่างที่นโปเลียนต้องการ ส่งผลทำให้เกิดการล่มสลายของกองทัพใหญ่และเป็นแรงบันดาลใจก่อให้เกิดแรงผลักดันขึ้นมาใหม่เพื่อต่อต้านนโปเลียนโดยศัตรูของพระองค์

ในปี 1813 ปรัสเซียและออสเตรียได้เข้าร่วมกับกองทัพรัสเซียในสงครามสหสัมพันธมิตรครั้งที่หกกับฝรั่งเศส การทัพทางทหารที่ยาวนานได้สิ้นสุดลงด้วยกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรขนาดใหญ่ที่เอาชนะนโปเลียนลงได้ในยุทธการที่ไลพ์ซิช แต่ชัยชนะทางด้านกลยุทธ์ของพระองค์ในยุทธการที่ฮาเนาซึ่งได้อนุญาตให้ล่าถอยกลับไปยังแผ่นดินฝรั่งเศส จากนั้นฝ่ายสัมพันธมิตรได้บุกครองฝรั่งเศสและเข้ายึดครองกรุงปารีสในฤดูใบไม้ผลิ ปี 1814 บีบบังคับให้นโปเลียนสละราชบังลังก์ในเดือนเมษายน พระองค์ได้ถูกเนรเทศไปยังเกาะเอลบา ด้านนอกชายฝั่งของทัสกานี และราชวงศ์บูร์บงได้รับการฟื้นฟูกลับมาเข้าสู่อำนาจอีกครั้ง นโปเลียนได้หลบหนีออกจากเกาะเอลบาในเดือนกุมภาพันธ์ 1815 และเข้าควบคุมฝรั่งเศสอีกครั้ง ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ตอบสนองด้วยการก่อตั้งฝ่ายสหสัมพันธมิตรครั้งที่เจ็ดซึ่งได้เอาชนะพระองค์ลงได้ในยุทธการที่วอเตอร์ลู บริติชเนรเทศพระองค์ไปยังเกาะเซนต์เฮเลนาที่ห่างไกลในมหาสมุทรแอตแลนติก พระองค์ป่วยสวรรคตในอีกหกปีต่อมาเมื่อมีพระชน 51 ปีเศษ

อิทธิพลของนโปเลียนที่มีต่อโลกสมัยใหม่ทำให้เกิดการปฏิรูปแบบเสรีนิยมไปสู่ดินแดนจำนวนมากที่พระองค์ได้ยึดครองและเข้าควบคุม เช่น กลุ่มประเทศแผ่นดินต่ำ สวิตเซอร์แลนด์ และส่วนขนาดใหญ่ของอิตาลีและเยอรมนีในสมัยใหม่ พระองค์ได้ดำเนินนโยบายเสรีนิยมที่เป็นรากฐานสำคัญในฝรั่งเศสและทั่วยุโรปตะวันตก ประมวลกฎหมายนโปเลียนของพระองค์นั้นมีอิทธิพลต่อระบบกฎหมายของประเทศมากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก แอนดริว โรเบิร์ต นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษได้กล่าวว่า"แนวความคิดที่คอยค้ำจุนโลกสมัยใหม่ของเรา - ไม่ว่าจะเป็นคุณธรรมนิยม ความเสมอภาคตามกฎหมาย สิทธิในทรัพย์สิน การยอมรับความต่างทางศาสนา การศึกษาทางโลกสมัยใหม่ การเงินที่ดี และอื่น ๆ - ได้รับการปกป้อง ทำให้เกิดความมั่นคง ประมวลและขยายทางภูมิศาสตร์โดยนโปเลียน" สำหรับพระองค์ที่ได้เพิ่มการบริหารปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีเหตุผลและมีประสิทธิภาพ เป็นอันยุติในการโจรกรรมในชนบท การส่งเสริมวิทยาศาสตร์และศิลปะ การยกเลิกระบอบศักดินาและประมวลกฎหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่การล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน

อ่านเพิ่มเติม...
 

Eléonore Denuelle de La Plaigne

Eléonore Denuelle de La Plaigne

Louise Catherine Eléonore Denuelle de la Plaigne (13 September 1787 – 30 January 1868) was a mistress of Emperor Napoleon I of France and the mother of his son Charles, Count Léon.

She was born Louise Catherine Eléonore Denuelle de la Plaigne into a middle-class family, by reports of the day she was pretty and witty, and was married at the age of 18 to a former army captain, Jean-François Revel-Honoré. Her husband was arrested for fraud three months into the marriage, and sentenced to two years in prison. On 29 April 1806, the couple were granted a divorce.

Shortly afterward she became a mistress to the Emperor Napoleon, an arrangement set up by his sister Caroline Bonaparte, and in less than a year their illegitimate son, Count Léon, was born. He was Napoleon's first child, and proof that Napoleon was capable of producing an heir, establishing that his wife Joséphine de Beauharnais was infertile. As a result, he divorced Joséphine and married Marie Louise of Austria.

In 1808, Napoleon arranged a marriage for her to a young lieutenant, Pierre-Philippe Augier of Sauzay, in order to end the royal affair. She was paid a hefty dowry by the emperor, and the newly married couple departed for Spain. Augier was listed as missing in action on 28 November 1812 during Napoleon's Russian Campaign. Newly widowed, she married Count Charles-Emile-Auguste-Louis de Luxbourg in 1814. She remained with her third husband until his death 35 years later.

อ่านเพิ่มเติม...
 

จักรพรรดินโปเลียนที่ 1

จักรพรรดินโปเลียนที่ 1
 

Pauline Fourès

Pauline Fourès

Pauline Fourès (March 15, 1778 – March 18, 1869), born Pauline Bellisle, was a French painter and novelist best known for being a mistress of Napoleon Bonaparte.

อ่านเพิ่มเติม...
 

จักรพรรดินโปเลียนที่ 1

จักรพรรดินโปเลียนที่ 1
 

Albine de Montholon

Albine de Montholon

Albine de Montholon (18 December 1779 - 25 March 1848) was a French noblewoman, and the wife of Charles Tristan, marquis de Montholon. She was reputed to be the mistress of Napoleon during his exile on Saint Helena.

อ่านเพิ่มเติม...
 

จักรพรรดินโปเลียนที่ 1

จักรพรรดินโปเลียนที่ 1
 

Giuseppina Grassini

Giuseppina Grassini
เกิดเมื่อวันที่
คำอธิบายที่จะเพิ่มเร็ว ๆ นี้
 

จักรพรรดินโปเลียนที่ 1

จักรพรรดินโปเลียนที่ 1
 

Emilie Kraus von Wolfsberg

เกิดเมื่อวันที่
คำอธิบายที่จะเพิ่มเร็ว ๆ นี้
 

จักรพรรดินโปเลียนที่ 1

จักรพรรดินโปเลียนที่ 1
 

Marie Walewska

Marie Walewska

Marie Walewska, Countess Walewska (Polish: Maria Walewska; née Łączyńska; 7 December 1786 – 11 December 1817) was a Polish noblewoman in the court of Napoleon I who used her influence to sway the emperor towards the creation of an independent Polish state. In her later years she married count Philippe Antoine d'Ornano, an influential Napoleonic officer.

อ่านเพิ่มเติม...
 

จักรพรรดินโปเลียนที่ 1

จักรพรรดินโปเลียนที่ 1
 

Adèle Duchâtel

Adèle Duchâtel
เกิดเมื่อวันที่
คำอธิบายที่จะเพิ่มเร็ว ๆ นี้
 

จักรพรรดินโปเลียนที่ 1

จักรพรรดินโปเลียนที่ 1
 

Elisabeth de Vaudey

Elisabeth de Vaudey

Élisabeth-Antoinette Le Michaud d'Arçon de Vaudey (27 October 1773, in Besançon – 1833?) was a French lady-in-waiting (Dame du Palais). She was famous for her affair with the French Emperor Napoleon, which was a cause of a violent scene between the Emperor and the Empress Joséphine shortly before their coronation.

อ่านเพิ่มเติม...