ใครออกเดทกับ كلارا بيتاتشي?

  • Benito Mussolini วันที่ كلارا بيتاتشي จาก ถึง . ช่องว่างอายุ 28 ปี 6 เดือน 30 วัน.

كلارا بيتاتشي

كلارا بيتاتشي

كلارا بيتاتشي والمعروفة باسم كلاريتا بيتاتشي (28 فبراير 1912 - 28 أبريل 1945) كانت عشيقة حاكم إيطاليا إبان الحرب العالمية الثانية بينيتو موسوليني ، الذي كان يكبرها بثمانية وعشرين عاماً.

وفي يوم 27 أبريل 1945 تم القبض عليها مع موسوليني من قبل أنصار الشيوعية، وهما يحاولان الهرب في مؤخرة سيارة نقل باتجاه الحدود ، وفي اليوم التالي (28 أبريل 1945) تم تنفيذ حكم الإعدام عليهما، وعُرِضت جثتهما مقلوبةً رأساً على عقب في ساحة عامة في مدينة ميلانو مع جثث خمسة قادة فاشيين آخرين.

อ่านเพิ่มเติม...
 

Benito Mussolini

Benito Mussolini

เบนิโต อามิลกาเร อานเดรอา มุสโสลินี (อิตาลี: Benito Amilcare Andrea Mussolini) เป็นนักการเมืองชาวอิตาลีและนักเขียนข่าวที่เป็นผู้นำของพรรคชาตินิยมฟาสซิสต์ เขาได้ขึ้นปกครองอิตาลีในฐานะนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1922 ถึง 1943 เขาได้กลายเป็นผู้นำประเทศจนกระทั่งปี ค.ศ. 1945 เมื่อเขาได้ทำลายการหลอกลวงของระบอบประชาธิปไตยและสร้างระบอบเผด็จการ

เป็นที่รู้จักกันในฐานะ "อิลดูเช"(ท่านผู้นำ), มุสโสลินีได้เป็นผู้ก่อตั้งลัทธิฟาสซิสต์อิตาลี ในปี ค.ศ. 1912 มุสโสลินีได้เป็นสมาชิกชั้นนำของคณะกรรมการแห่งชาติของพรรคสังคมนิยมอิตาลี(PSI) แต่ถูกขับออกจากพรรค PSI จากการสนับสนุนในการเข้าแทรกแซงการทหารในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ในฐานะที่เป็นผู้คัดค้านต่อจุดยืนของพรรคที่วางตัวเป็นกลาง มุสโสลินีได้รับใช้ในกองทัพบกแห่งราชอาณาจักรอิตาลีในช่วงสงครามจนกระทั่งเขาได้รับบาดเจ็บและถูกปลดประจำการในปี ค.ศ. 1917 มุสโสลินีได้กล่าวประณามต่อพรรค PSI มุมมองของเขาในตอนนี้มีศูนย์กลางอยู่ที่ลัทธิชาตินิยมแทนที่จะเป็นลัทธิสังคมนิยมและต่อมาได้ก่อตั้งขบวนการฟาสซิสต์ซึ่งได้ต่อต้านสมภาคนิยม และความขัดแย้งระหว่างชนชั้น แทนที่จะเรียกร้องให้"คณะปฏิวัติชาตินิยม"ได้เอาชนะการแบ่งชนชั้น ภายหลังการเดินขบวนสู่เบอร์ลินในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1922 มุสโสลินีได้กลายเป็นนายกรัฐมนตรีอิตาลีคนสุดท้องในประวัติศาสตร์อิตาลีจนกระทั่งได้แต่งตั้งให้แก่มัตเตโอ เรนซี ในเดือนกุมภาพันธ์ ปีค.ศ. 2014 ภายหลังจากได้กำจัดคู่แข่งทางการเมืองทั้งหมดด้วยตำรวจลับของเขาและการนัดหยุดแรงงานของคนงาน มุสโสลินีและผู้ติดตามของเขาได้รวบรวมอำนาจผ่านหนึ่งในกฎหมายที่เปลี่ยนประเทศให้เป็นระบอบเผด็จการพรรคการเมืองเดียว ภายในห้าปีที่ผ่านมา มุสโสลินีได้จัดตั้งอำนาจเผด็จการด้วยวิธีทั้งทางกฎหมายและวิธีที่ไม่ธรรมดาและต้องการที่จะสร้างรัฐระบบรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ ในปี ค.ศ. 1929 มุสโสลินีได้ลงนามสนธิสัญญาลาเตรันกับนครรัฐวาติกัน ซึ่งเป็นการสิ้นสุดในช่วงหลายทศวรรษของการสู้รบระหว่างรัฐอิตาลีและพระสันตะปาปาและได้ยอมรับการเป็นรัฐอิสระของนครวาติกัน

ภายหลังวิกฤตการณ์อะบิสซิเนีย ปี ค.ศ. 1935-1936 มุสโสลินีได้ส่งกองทัพเข้ารุกรานเอธิโอเปียในสงครามอิตาลี-เอธิโอเปียครั้งที่สอง การรุกรานครั้งนี้ได้ถูกประณามโดยมหาอำนาจตะวันตกและตอบโต้ด้วยการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่ออิตาลี ความสัมพันธ์ระหว่างเยอรมนีและอิตาลีที่ดีขึ้น เนื่องจากการสนับสนุนของฮิตเลอร์ในการรุกราน มุสโสลินีได้ยอมรับให้ประเทศออสเตรียอยู่ภายใต้เขตอิทธิพลของเยอรมนี, ได้ลงนามสนธิสัญญาในการร่วมมือกับเยอรมนีและประกาศก่อตั้ง อักษะ โรม-เบอร์ลิน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1936 ถึง 1939 มุสโสลินีได้ส่งทหารจำนวนมากไปให้การสนับสนุนแก่กองกำลังของฟรังโกในสงครามกลางเมืองเสปน การแทรกแซงอย่างรวดเร็วครั้งนี้ยิ่งทำให้อิตาลีห่างเหินจากฝรั่งเศสและบริเตน มุสโสลินีได้พยายามชะลอสงครามครั้งใหญ่ในทวีปยุโรป แต่เยอรมนีได้เข้ารุกรานโปแลนด์ เมื่อวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1939 ส่งผลทำให้มีการประกาศสงครามโดยฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรและจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 1940-ด้วยฝรั่งเศสพ่ายแพ้และถูกยึดครองใกล้มาถึง—อิตาลีได้เข้าร่วมสงครามอย่างเป็นทางการโดยเข้าข้างฝ่ายเยอรมัน แม้ว่ามุสโสลินีได้ทราบดีว่าอิตาลีไม่มีขีดความสามารถทางทหารและทรัพยากรในการทำสงครามอันยืดเยื้อกับจักรวรรดิบริติซ เขาเชื่อว่าภายหลังจากการสงบศึกกับฝรั่งเศสที่ใกล้มาถึง อิตาลีอาจจะได้รับดินแดนจากฝรั่งเศส และเขาจะสามารถรวบรวมกองกำลังของเขาในการรุกครั้งใหญ่ในแอฟริกาเหนือ ที่กองกำลังบริติซและเครือจักรภพมีจำนวนมากกว่ากองทัพอิตาลี อย่างไรก็ตาม, รัฐบาลบริติซได้ปฏิเสธที่ยอมรับข้อเสนอเพื่อสันติภาพที่เกี่ยวข้องกับการยอมรับชัยชนะของฝ่ายอักษะในยุโรปตะวันออกและตะวันตก แผนการสำหรับการรุกรานสหราชอาณาจักรไม่ได้ดำเนินต่อไปและสงครามยังคงดำเนินต่อไป ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1940 มุสโสลินีได้ส่งกองทัพอิตาลีเข้าไปยังกรีซ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามอิตาลี-กรีซ  การรุกรานครั้งนี้ล้มเหลวและหลังจากกรีซได้โจมตีตอบโต้กลับผลักดันอิตาลีกลับไปยังเขตยึดครองแอลเบเนีย การล่มสลายของกรีซและพร้อมกับความปราชัยต่อบริติซในแอฟริกาเหนือทำให้อิตาลีต้องพึ่งพาเยอรมนี

เริ่มต้นในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1941 มุสโสลินีได้ส่งกองทัพอิตาลีเพื่อเข้าร่วมในการรุกรานสหภาพโซเวียตและอิตาลีได้ประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกาในเดือนธันวาคม ในปี ค.ศ. 1943 อิตาลีต้องประสบหายนะหลายครั้ง ภายหลังจากนั้นอีก: ในเดือนกุมภาพันธ์ กองทัพแดงได้ทำลายกองทัพอิตาลีในรัสเซียอย่างราบคาบ ในเดือนพฤษภาคม, ฝ่ายอักษะถูกขับไล่ออกจากแอฟริกาเหนือ เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม, ฝ่ายสัมพันธมิตรได้บุกครองเกาะซิซิลี และเมื่อถึงวันที่ 16 ได้เห็นอย่างชัดเจนว่าการรุกรานในช่วงฤดูร้อนในสหภาพโซเวียตล้มเหลว ด้วยผลที่ตามมา, เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม สภาใหญ่แห่งฟาสซิสต์ได้ลงมติไม่ไว้วางใจต่อมุสโสลินี วันต่อมา กษัตริย์ได้ปลดเขาออกจากตำแหน่งผู้นำคณะรัฐบาลและควบคุมตัวเขาให้อยู่ในความดูแล เพื่อแต่งตั้งปีเอโตร บาโดลโยขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทนต่อจากเขา มุสโสลินีได้รับการปลดปล่อยจากที่คุมขังในการตีโฉบฉวยแกรน์ แซสโซโดยทหารโดดร่มเยอรมันและหน่วยคอมมานโดวัฟเฟิน-เอ็สเอ็สภายใต้การนำโดยพันตรี Otto-Harald Mors

ภายหลังที่ได้เข้าพบกับอดีตผู้นำเผด็จการที่ได้คอยให้ความช่วยเหลือ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ก็ได้ให้มุสโสลินีเข้าไปปกครองในรัฐหุ่นเชิดทางภาคเหนือของอิตาลี สาธารณรัฐสังคมอิตาลี(อิตาลี: Repubblica Sociale Italiana, RSI), เป็นที่รู้จักกันอย่างเป็นทางการคือ สาธารณรัฐซาโล ในช่วงปลายเดือนเมษายน ค.ศ. 1945 ในขณะที่ความพ่ายแพ้ทั้งหมดได้ใกล้เข้าถึง มุสโสลินีและอนุภรรยาของเขา คลาล่า แปตะชิ ได้พยายามหลบหนีไปยังสวิตเซอร์แลนด์ แต่ทั้งคู่ถูกจับกุมโดยพลพรรคคอมมิวนิสต์อิตาลีและถูกประหารชีวิตอย่างรวบรัดโดยชุดทีมยิงเป้า เมื่อวันที่ 28 เมษายน ใกล้กับทะเลสาบโกโม ร่างของเขาถูกนำไปยังเมืองมิลาน ซึ่งที่นั้นได้ถูกแขวนประจานไว้ที่หน้าสถานที่ราชการเพื่อเป็นการยืนยันการตายของเขาแก่สาธารณชน

อ่านเพิ่มเติม...